สัญญาเช่า มีความหมายอย่างไรและมีความสำคัญเช่นใดทางกฎหมาย

สัญญาเช่า

ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการให้ยืมให้เช่าสินทรัพย์หรือสิ่งของที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ อพาร์ทเม้นท์ อาคารต่าง ๆ และอีกมากมายที่สามารถทำการเช่ายืมได้ โดยจะมีทั้งสินทรัพย์แบบจับต้องได้และสินทรัพย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่น สัญญาณคลื่นความถี่ที่เกี่ยวกับงานทางเทคโนโลยี หรือสัญญาที่เกี่ยวกับโปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องสัญญาณเหล่านั้นได้ แต่เป็นสิ่งที่มีการให้เช่าและมีผู้เช่าเกิดขึ้นโดยจะเรียกหนังสือเหล่านั้นว่าสัญญาเช่า”นั่นเอง

สารบัญ
    Add a header to begin generating the table of contents

    ความหมายของ สัญญาเช่า

    สัญญาเช่าเป็นหนังสือที่ถูกสร้างขึ้นแบบมีลายลักษณ์อักษรชัดเจนเพื่อใช้ในการตกลงผลประโยชน์ระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่าอย่างยุติธรรมโดยข้อมูลทั้งหมดคือการตกลงและยินยอมรับข้อตกลงจากทั้งสองฝ่ายภายใต้ข้อสัญญาทางกฎหมายและจะถูกบังคับใช้ตามเงื่อนไขและรายละเอียดทั้งหมดที่มีปรากฏในการร่างขึ้นในสัญญาฉบับนั้น ๆ โดยรายละเอียดที่ปรากฏในแต่ละสัญญาจะมีรายละเอียดและเงื่อนไขของข้อบังคับตามประเภทการเช่าและชนิดที่ได้ทำสัญญากันไว้ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามจุดประสงค์ของการเช่านั้น ๆ โดยในบางครั้งผลประโยชน์อาจจะตกเป็นของผู้เช่าและบางกรณีผลประโยชน์อาจจะกลับคืนสู่ผู้ให้เช่าซึ่งจะมีการเขียนถึงข้อตกลงนี้ในหนังสือสัญญาอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการเช่าสินทรัพย์นั้นหรืออาจเกิดขึ้นหลังจากการเช่าสินทรัพย์สิ้นสุดลง

    องค์ประกอบโดยทั่วไปที่มักจะปรากฏในหนังสือสัญญาเช่า

    ในการทำหนังสือสัญญาโดยทั่วไปมักจะปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับการเช่าซื้อสินค้าหรืออสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ  เช่น อาคาร ที่พัก อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องจักรต่าง ๆ  ซึ่งจะมีการระบุเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการเช่า ดังนี้

    • นามหรือชื่อของผู้ที่ทำการเช่าและข้อมูลของอีกฝ่ายคือผู้ให้เช่าโดยอาจจะปรากฏในนามของนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาก็สามารถทำหนังสือเช่าได้ทั้งสองกรณี
    • ในหนังสือจะต้องระบุระยะเวลาในการเช่าอย่างชัดเจนตั้งแต่วันที่ทำการเริ่มเช่าจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา
    • แสดงเจตจำนงและวัตถุประสงค์ในการทำ สัญญาเช่า ว่าเพื่อการเช่ายืมใช้เป็นกรณีกรณีไป หรือเช่าเพื่อพิจารณาในการซื้อหลังจากใช้งาน และเช่าตามสัญญาเมื่อครบระยะเวลาที่ระบุจะมีการโอนสินทรัพย์เหล่านั้นคืนให้ผู้เช่าตามสิทธิ์ที่พึงมีในกฎหมาย
    • ในหนังสือจะต้องระบุวิธีการจ่ายเงินในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้เช่าจะต้องทำการชำระให้กับผู้ให้เช่าอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขเช่น ชำระเงินค่าเช่าแบบรายเดือน หรือชำระเงินแบบรายปี
    • ในหนังสือสัญญานั้น ๆ จะประกอบด้วยข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษร อันแสดงถึงเงื่อนไขการเช่าสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงวิธีการชำระคืนหลังจากที่ได้มีการเริ่มเช่าสินทรัพย์นั้นไปแล้ว
    • ในสัญญาจะมีการระบุถึงเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ เพื่อป้องกันปัญหาหรือข้อพิพาทต่าง ๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในการเช่าที่เป็นการเฉพาะ

    ประเภทของสัญญาเช่าที่แยกตามเงื่อนไขของระยะเวลา

    เป็นที่ทราบกันดีว่าสัญญาแต่ละประเภทนั้นมีเงื่อนไขรายละเอียดและระยะเวลาในการเช่าสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งตามระยะเวลาได้ทั้งหมด 4 ประเภทดังนี้

    1. การทำสัญญาในการเช่าแบบระยะยาว มักมีการระบุและกำหนดระยะเวลาในการเช่าอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงที่เริ่มต้นจนถึงเวลาที่สิ้นสุดการเช่า เมื่อครบกำหนดแล้วจะถือว่าเงื่อนไขต่าง ๆ ในการเช่าครั้งนั้นสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีการแจ้งผู้เช่าหรือบริษัทคู่สัญญาให้ทราบล่วงหน้า
    2. สัญญาเช่า ตามช่วงระยะเวลา โดยส่วนมากจะใช้ในกรณีที่มีการเช่าแบบปี แบบรายเดือนและแบบรายสัปดาห์ตามความประสงค์และความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเมื่อฝ่ายใดต้องการยกเลิกสัญญาก็สามารถกระทำได้โดยต้องแจ้งข้อมูลให้อีกฝ่ายทราบเพื่อป้องกันการปัดความรับผิดชอบที่อาจจะเกิดขึ้นได้
    3. สัญญาการเช่าแบบไม่กำหนดช่วงเวลา เป็นการร่างสัญญาการเช่าที่ง่ายที่สุด ซึ่งจะไม่ค่อยมีการระบุช่วงเวลาที่แน่ชัดโดยได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่ายและหากต้องการยกเลิกการเช่าก็สามารถกระทำได้ในทันที
    4. สัญญาการเช่าแบบผ่อนปรนสินทรัพย์นั้น ๆ นั่นเอง คือกรณีที่มีการเช่าแล้วสัญญานั้นหมดอายุแต่ผู้เช่ายังสามารถใช้งานหรือดูแลสินทรัพย์เหล่านั้นต่อไปได้ โดยผู้ให้เช่าอาจจะไม่ได้ปฏิเสธหรือแสดงความคัดค้านในระหว่างนั้นเมื่อมีการตอบรับการให้เช่าอีกครั้งก็จะถือว่าคือการทำสัญญาแบบเช่าในระยะยาวหรือแบบมีระยะเวลาตามเงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันตามความประสงค์ของทั้งสองฝ่ายต่อไปในอนาคตได้อีก

    การจำแนกประเภทของการเช่าสินทรัพย์ในมุมมองของนักการบัญชี

    โดยปกติรูปแบบการเช่าสินทรัพย์ต่าง ๆ ในมุมมองของนักการบัญชีจะต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและพิจารณารายละเอียดหลาย ๆ ด้าน ซึ่งจะต้องประกอบด้วยผู้ให้เช่าและผู้เช่าโดยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามวิธีการทางบัญชีได้  ดังนี้

    • การทำ สัญญาเช่า เพื่อให้เช่าอย่างเดียว คือการเช่าสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเป็นเวลาสั้น ๆเมื่อครบตามระยะเวลาหรือตามสัญญาที่ได้กำหนดไว้จะมีการคืนสินทรัพย์นั้นให้แก่ผู้ให้เช่า เช่นการเช่ารถ การเช่าเครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ 
    • การเช่าแบบลิสซิ่ง คือการเช่าใช้สินทรัพย์เช่นเดียวกันแต่จะมีระยะเวลาในการเช่าสินทรัพย์นั้น ๆ ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปถึงจะเข้าข่ายว่าเป็นการเช่าแบบลิสซิ่งได้ โดยในสัญญาจะต้องมีการระบุให้อำนาจการตัดสินใจของผู้เช่าว่าหลังสิ้นสุดสัญญาผู้เช่าจะเลือกซื้อซากตัวสินทรัพย์ในราคาที่ถูกกว่าตลาดเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ให้กลายเป็นของผู้เช่าอย่างสมบูรณ์หรือหากผู้เช่าไม่ต้องการซื้อซากสินทรัพย์นั้นก็สามารถทำได้เช่นกัน
    • การเช่าซื้อ หมายถึงการนำสินค้ามาเช่าเหมือนกันเพียงแต่เมื่อสิ้นสุดสัญญาวิธีการเช่าซื้อแบบนี้ผู้เช่าจะได้รับการโอนกรรมสิทธิ์สามารถเป็นเจ้าของในตัวสินค้าเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ เช่นบ้าน คอนโด รถยนต์ ฯลฯ  จุดประสงค์ที่ผู้เช่าตัดสินใจใช้การเช่าประเภทนี้นั่นก็เพื่อหลังจากจ่ายค่าเช่างวดสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้วสินทรัพย์เหล่านั้นจะกลายเป็นของผู้เช่าในทันที

    เมื่อนักการบัญชีเห็นวิธีการเช่าเหล่านี้แล้วจะนำข้อมูลต่าง ๆ ไปวิเคราะห์เพื่อแยกแยะว่าการเช่าแต่ละแบบนั้นจะถูกลงข้อมูลในทางบัญชีว่าเป็นแบบ สัญญาเช่า ดำเนินงานหรือ สัญญาเช่า การเงินต่อไป

    ความเกี่ยวพันของกฎหมายกับ สัญญาเช่า

    โดยปกติแล้วการทำธุรกิจเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ มักจะเกิดข้อพิพาทหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นในบางกรณี เช่น การเช่าสินค้าแล้วเกิดความเสียหายกับสินค้านั้นในระหว่างการใช้งาน ปัญหาการเช่าซื้อแล้วไม่ได้รับการโอนกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์นั้นหลังจากที่ได้มีการจ่ายค่างวดอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว หรือสินทรัพย์ที่ผู้เช่านำมาครอบครองก็สูญหายในระหว่างการเช่า ใครจะเป็นผู้ต้องรับผิดชอบหรือมูลค่าความเสียหายจะตกเป็นของใคร ด้วยความสำคัญของกฎหมายกี่ยวกับสัญญาการเช่าจะช่วยสร้างความกระจ่างและทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เช่าและผู้ให้เช่า โดยจะมีการพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ประกอบกับข้อกฎหมายเป็นข้อ ๆ ไปอย่างละเอียดเพื่อสร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เช่าทั้งสองฝ่าย

    บทสรุป

    และนี่คือข้อมูลทั้งหมดของการทำหนังสือสัญญาเช่า ซึ่งจะถูกร่างขึ้นเพื่อใช้ในการเช่าสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งแบบที่สามารถจับต้องได้และไม่สามารถจับต้องได้ โดยการเช่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้เช่าและผู้ให้เช่าเข้ามาสร้างข้อตกลงร่วมกันโดยจะมีการแสดงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่น ระยะเวลาการเช่าซื้อกรรมสิทธิ์หลังจากการเช่าซื้อเสร็จสิ้น หรือราคาค่าเช่าในแต่ละสินทรัพย์จะถูกกำหนดไว้แบบใดและมีมูลค่าเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้จะถูกแสดงไว้ในหนังสือสัญญาการเช่าสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อสร้างความกระจ่างและป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าได้อย่างเป็นธรรมมากที่สุด📌Station Accout – เรารับจดทะเบียนบริษัทดีที่สุด™

    สำนักงานบัญชีคุณภาพ